Inspiration

คิดอย่างไรดีกับการ #ย้ายประเทศ (ตอนที่ 1)

เนื่องด้วยเหตุการณ์แพร่ระบาด Covid-19 ระลอก 3 ที่ดูเหมือนรัฐบาลไทยจะแพ้ บริหารประเทศผิดพลาด ทั้งในด้านการตรวจเชิงรุก การบริหารจัดการซื้อและฉีดวัคซีน มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (รวมถึงช่างสมชาย ช่างที่ผมคุ้นเคยคอยช่วยเหลือปรับปรุงบ้านที่พัฒนาการของผมในหลายๆด้าน :'( ). ทำให้หลายๆกลุ่มเริ่ม “หมดหวัง” กับอนาคตประเทศไทย เกิดกระแส การย้ายประเทศ ขึ้นในกลุ่มสังคมออนไลน์ มีผู้สนใจศึกษา เข้าร่วมพูดคุย ตอนนี้ก็ทะลุกว่า 600,000 คนไปแล้ว

ตัวผมคนหนึ่ง ประมาณปี 2011 หรือสัก 10 ปีที่แล้ว ก็มีความคิดนี้เช่นกัน เนื่องด้วยตัวเองมีโอกาสไปเรียนที่อเมริกา ตั้งแต่ปริญญาตรี จึงมีพื้นฐานในประเทศนี้พอสมควร เพื่อนฝูง ความสามารถด้านภาษา สังคม วัฒนธรรม หรือโอกาสการทำงาน ถ้าว่าไปก็ถือว่าพร้อมพอสมควรเลย ผมวันที่ตัดสินใจได้แม่น วันนั้นผมเดินคุยกับตัวเองที่ถนน Embarcadero ในเเมือง San Francisco ว่าจะเอาอย่างไรดี บนถนนเส้นนี้ Embarcadero ก็ถือว่าเป็นถนนที่สวยมาก คนซานฟราน ชอบมาวิ่งออกกำลังกายที่ถนนเส้นนี้ เพราะอยู่ติดกับมหาสมุทธเลย อากาศดี วิวสวย ถนนเรียบไม่ขรุขระ

บรรยากาศ Embarcadero Road ริมขอบอ่าวของเมือง San Francisco

ผมมาเดินอยู่ที่นี่ เพราะเป็นช่วงที่ผมขอลาทางจุฬาลงกรณ์ มาเข้าร่วมประชุมวิชาการด้านสตาร์ทอัพ และก็ถือโอกาสนี้เยี่ยมเพื่อนๆ สมัยเรียนที่ Stanford ซึ่งส่วนมากก็ยังทำงานอยู่ในบริเวณ Silicon Valley นี้ และพ่วงพูดคุยเรื่องงานกับหลายๆบริษัทด้วย

ผมเดินอยู่พักใหญ่เลย หยุดหลับตาคิดบ้าง หายใจลึกบ้างๆ ว่าเอาอย่างไรดี มันช่างเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่พอสมควร การตัดสินใจนี้จะส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆทั้งในปัจจุบัน (พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน ของผม) และคนในอนาคตที่ยังไม่ได้เกิดอีก (ลูกๆ หลานๆ…คิดไกลไปไหม ลูกสักคนตอนนี้ก็ยังไม่มี…ฮา) อารมณ์คิดถึงเหล่ากงของผม คุณลักษณบุล อัศวานันท์ ว่าตอนนั้นเหล่ากงคิดอย่างไร ที่อพยพมาจากซัวเถา Shantou ประเทศจีน เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เหล่ากงคิดมากอย่างผมหรือปล่าว หรือว่ามันไม่มีอะไรจะให้หวังแล้วสำหรับประเทศจีนในตอนนั้น เลยมาประเทศไทยดีกว่า ความรู้สึกของเหล่ากงเป็นอย่างไร เหล่ากงกลัวไหมที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง

ผมเกือบเอาความกล้าหาญของเหล่ากงเป็นตัวอย่าง แล้วก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่อเมริกา เหมือนที่เหล่ากงย้ายตัวเองมาอยู่ที่ไทย เหล่ากงมาเมืองไทย ทำให้ผมมีวันนี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีทุกๆวันที่ได้ตื่นเต้นกับการทำงานว่าจะทำอะไรเพิ่มเติมได้ สร้างอะไรขึ้นมาได้บ้าง ผมอยากให้หลานๆผมในอนาคต มีโอกาสเหมือนผมเช่นกัน ดังนั้นผมจะตัดสินใจเหมือนเหล่ากง ผมต้องย้ายมาอเมริกา!

ความคิดนี้อยู่ในหัวผมสัก 5 นาที แล้วผมก็คิด อะไรหลายๆอย่างในหัวผมขึ้นต่อ ผมเคยอ่านหนังสือและบทความหลายๆบทความ ใจความที่ผมพอจำได้คือ The second half of the 20th century is the century of America…ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 (1951-2000) คือศตวรรคของประเทศอเมริกา but the 21th century is the century of Asia…แต่ศตวรรษที่ 21 (2001 – 2100) นั้นจะเป็นศตวรรษของภูมิภาคเอเชีย มุมมองนี้ ทำให้ผมวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่ ตัวผมเองอยู่ในเอเชียแล้ว และก็สร้างพื้นฐานของตัวเองไว้พอสมควรแล้ว ทำไมจึงอยากที่ดั้นด้นออกจากประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอะไรใหม่ๆของเศรษฐกิจโลก มาอยู่อีกประเทศซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตของความรุ่งเรืองไป ผมชั่งน้ำหนัก 2 ความคิด การย้ายถิ่นฐานของเหล่ากง กับศตวรรษของเอเซีย มันมีอะไรที่ตกหล่นไปหรือปล่าว…แล้วสุดท้ายผมก็เจอ

ร้านทองบ้วนฮั่วล้ง ที่คุณลักษณบุล อัศวานันท์ (เหล่ากง) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2490
โดยมีหลานชายคนโต คุณพงศ์ไทย อัศวานันท์​ สืบทอดธุรกิจอยู่จนถึงปัจจุบัน

ผมค้นพบว่า สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่าง เวลาของเหล่ากง และเวลาของผม ก็คือ เทคโนโลยีด้านการเดินทางและการสื่อสาร ในสมัยเหล่ากง สื่อสารกันโดยจดหมาย เดินทางระหว่างประเทศคือการนั่งเรือสำเภา…โลกในสมัยนั้นเป็นโลกที่ห่างไกลกันมาก ต่างจากโลกสมัยนี้ ข้อมูล การติดต่อสื่อสาร ทำได้ทันทีหลักวินาที การเดินทางไปมาหากันเพียงหลักชั่วโมงหรืออย่างมากก็ 1 วัน โลกในปี 2021 ถูกย่อส่วนลงมากเมื่อเทียบกับปี 1921

ผมดีใจมากที่คิดมาถึงกรอบความคิดนี้ได้ ความลำบากใจที่จะต้องจากครอบครัวและทิ้งสิ่งต่างๆที่ผมได้สร้างไว้ที่เมืองไทย หายไป ประเทศอเมริกา เป็นประเทศที่เจริญ เป็นประเทศที่มีคนเก่งๆเยอะ เป็นประเทศที่มีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยระดับโลกหลายแห่ง ผมอยากจะมีส่วนร่วม เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ให้ครอบครัวผมมีโอกาสเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน และผมก็สามารถพาตัวผมเองและครอบครัวในอนาคตของผมเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ทั้งๆที่ผมและครอบครัวยังอยู่ที่ประเทศไทย สิ่งที่ผมต้องทำก็คือการขยันเดินทาง ขยันหาความรู้ บอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ทิ้งอเมริกา เราจะเดินทางมาเยี่ยมเยียมเพื่อนเก่าๆ หาทางสร้างเพื่อนใหม่ๆ มาดูงาน เข้าสัมนาวิชาการ มาหาความรู้ความคิดใหม่ๆในอเมริกา โดยอย่างน้อยต้องมา 1 ครั้งในทุกๆ 2 ปี ถ้าเพื่อนคนไหนแต่งงาน เราจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของเขา ถ้ามีเพื่อนสมัยเรียนคนไหนทักเข้ามาหาว่าจะเดินทางมาเที่ยวไทยหรือครอบครัวเขาจะมาเมืองไทย ไม่ว่าเราจะยุ่งขนาดไหน เราสัญญากับตัวเองว่าเราจะไปต้อนรับเขา พาเขาไปทานข้าวและพาเขาเที่ยวสัก 1 วัน ผมว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมยัง keep in touch มีเส้นบางๆเชื่อมผมอยู่กับประเทศอเมริกา เสมือนว่าผมก็พอจะได้อยู่ที่ประเทศอเมริกาสักเสี้ยวหนึ่ง เหมือนกัน

เดินทางมาร่วมงานแต่งงานเพื่อนที่ San Francisco, USA
เดินทาง 2 วัน ร่วมงาน 2 วัน พักอีก 1 วัน รวมเป็น 5 วัน กลับมาทำงานต่อ

ที่จริงผมยังมีเรื่องเล่าต่อ ว่าสาเหตุอะไรที่เมืองไทยน่าอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นประเทศชั้นนำในระดับเวทีโลก แต่เราก็ไม่ได้น่าเกลียดมาก ประเทศไทยยังมีหวัง แต่เราต้องช่วยกันพัฒนา สำหรับสิ่งดีๆที่ผมชอบของประเทศไทย และสิ่งที่ผมอยากจะเสนอว่าเราควรจะช่วยกันปรับปรุงกันอย่างไร ผมขอเก็บไว้เล่าในตอนที่ 2 นะครับ ตอนนี้เขียนมายาวพอสมควรแล้ว เกรงว่าคนอ่านจะเบื่อเสียก่อน สำหรับตอนนี้ขอฝากข้อคิดจากคำพูดของนักปรัชญา นักเขียนท่านนึงชาวสเปน/อเมริกัน ซึ่งกล่าวไว้ว่า

A man’s feet should be plated in his country, but his eyes should survey the world. — George Santayana

การมีประเทศและถิ่นที่อยู่ของตัวเอง เป็นพื้นฐานของความภูมิใจของคนในชาติ หรือแม้แต่เป็นพื้นฐานและเวทีที่เราจะสามารถสร้างความภูมิใจให้แก่เรา แก่ครอบครัว และแก่ชุมชนของเราได้ จะหาทางพัฒนาที่ๆเราอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ในแบบฉบับของเราเอง โดยที่ไม่ต้องร้องขอให้คนอื่นช่วย แต่ละคนมีแรงและกำลังไม่เท่ากัน เราทำที่เราทำได้ แรงของเราก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้เท้าของเราฝังรากลึกลงในแผ่นดินใดๆให้มั่นคง เพราะที่นี่คือที่พักพิงของเรา ฐานมั่นคง แต่สายตาหรือวิสัยทัศน์อย่าหยุดแค่ในประเทศ เรามองและสำรวจได้อย่างไม่จำกัด มองไกลๆว่าโลกใบนี้มีโอกาสหรือสิ่งดีๆอะไรใหม่ๆให้เราสามารถสร้างประโยชน์ขึ้นได้บ้าง

สวัสดีครับ

Read More

แนวคิดจาก ชาร์ลี มังเกอร์ (Wisdoms from Charlie Munger)

วิดิโอสัมภาษณ์ ของคุณปู่ ชาร์ลี มังเกอร์ ในปี 2017 (พ.ศ. 2560)

ในช่วงตั้งแต่ต้นปี ที่ห่างหายไปจากการเขียนโพสครั้งสุดท้าย นอกเหนือจากความรับผิดชอบ ที่มหาวิทยาลัย ผมได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือ และบทความต่างๆ อาจจะแบ่งเป็น 2 เรื่องหลักๆ ได้​ ซึ่งก็คือ ความรู้ด้านการลงทุนในตลาดหุ้น (โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนาม) และ แนวคิดเรื่องหลักการคิด กระบวนการความคิดต่างๆ (Mental Model)

สำหรับโพสนี้ ผมขอเขียนเบื้องต้นสำหรับ เรื่องที่ 2 แนวคิดเรื่องกระบวนการความคิด เพื่อให้ใช้ชีวิตที่ดี มีความสุข และประสบความสำเร็จ หนึ่งในนักธุรกิจที่ผมศึกษาค้นคว้า และอ่านงานเขียนของเขามากขึ้น ก็คือคุณปู่ ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) คนๆนี้ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักในสังคมไทยนัก อาจจะเป็นเพราะ เขาเป็นพระรอง ของพระเอกที่ยิ่งใหญ่ของโลก พระเอกคนนั้นก็คือ คุณปู่ วอเร็น บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) ในตำนาน ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ คุณปู่มังเกอร์ เป็นเสมือน มือขวา เพื่อนคู่คิด คุณปู่บัฟเฟตต์ มาในหลายทศวรรต ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบัน

ผมพยายามศึกษา แนวความคิด ของคุณปู่มังเกอร์ จากบทสัมภาษณ์ จากงานเขียน ต่างๆที่มีอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต อยากจะเริ่มต้น จากบทสัมภาษณ์ที่ทาง Ross Business School – มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สัมภาษณ์คุณปู่ไว้เมื่อปี 2017 ซึ่งตอนนั้นคุณปู่ ก็อายุ 93 ปี แล้ว บทสัมภาษณ์นี้ ยาวประมาณ​ 1 ชั่วโมง แต่ผมฟังจริงๆ อาจจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะเปิดฟัง แล้วก็ต้องคอยกดหยุด เพื่อคิด หรือว่ากรอฟังซ้ำใหม่ บางคำ ผมก็ฟังไม่เข้าใจ บางคำช่างลึกซึ้ง จนผมอยากจะฟังอีกรอบ อย่างไร ลองเข้าไปฟังได้นะครับ ตามลิ้งค์ของ Youtube ด้านบน สำหรับตัวผม ฟังแล้ว จับใจความและประเด็นสำคัญที่ได้เป็นข้อคิดของวิดิโอ ในประเด็นต่างๆ ตามนี้

  • คุณปู่มังเกอร์ มีบุคคลที่เขาสรรเสริญ และชื่นชม คือ Benjamin Franklin หนึ่งในแปด ผู้ร่วมร่างธรรมนูญ (Declaration of Independence and U.S. Constitution) ซึ่งเสมือนว่าจะเป็น ประธานาธิบดีของสหรัฐ แต่แท้จริงแล้วไม่เคยได้รับเลือกตั้ง (wow..ผมก็เพิ่งรู้นะครับเนี่ย!) อ่านมาถึงตรงนี้ ผมเลยอยากจะอ่านประวัติของ Benjamin Franklin เลย ว่าชีวิตเขาเป็นอย่างไร (เขาได้เขียนชีวประวัติของตนเอง อยู่ในหนังสือชื่อ Poor Richard’s Almanack นามแฝงของ Ben Franklin คือ Richard) คุณปู่มังเกอร์ น่าจะชอบเขามาก ถึงขนาด หนังสือของคุณปู่ที่เขียนขึ้น เขาก็ตั้งชื่อหนังสือให้คล้ายๆกันของ Ben Franklin โดยใช้ชื่อว่า Poor Charlie’s Almanack. ต้องบอกว่า 2 เล่มนี้ อยู่ในรายชื่อหนังสือ ที่ผมต้องหาซื้อและหาเวลามานั่งอ่าน เรียนรู้จาก 2 นักคิดระดับโลกจริงๆ
  • คุณปู่มังเกอร์ เกิดในปี 1927 (พ.ศ. 2467) ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ประเทศอเมริกาจะเข้าสู่ยุค เศรษฐกิจตกต่ำที่สุด ซึ่งเกิดในช่วงปี 1930 และกินเวลานานกว่า 4 ปี คุณปู่บอกว่า เขาจำได้ว่า เวลาเศรษฐกิจตกต่ำลักษณะนั้น มันรู้สึกอย่างไร มันแย่ขนาดไหน ในยุค Covid-19 นี้ เราคงจะเห็นว่าเศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนตกงานเช่นกัน แต่ในยุคเมื่อ 90 ปีที่แล้ว มันแย่กว่ากันมาก ใน ตอนนั้น แม้แต่คนรวยก็ไม่มีเงิน ทุกคนต้องมาขอทาน ขออาหารทานให้รอดกันไปในแต่ละวัน อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์อันนี้นี่เอง ที่ทำให้การลงทุนที่ผ่านมาคุณปู่คงจะรู้สึกชิว สบายๆ ไม่ว่าสถานการณ์ไหน เขาก็มั่นใจว่า เศรษฐกิจ และประเทศ USA ยังไงก็ต้องผ่านพ้นไปได้ Black Monday ปี 1987 หรอ สบายๆ Subprime ปี 2008 หรอ จิ๊บๆ หรือว่า Covid-19 ปี 2020 หรอ โถ่ ขี้ผง ความมั่นคงในอารมณ์และหลักแนวคิดที่ชัดเจนนี่เอง คงจะเป็นสาเหตุให้การลงทุนของเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา –> ก่อนจะจบเรื่อง Great Depression นี้ คุณปู่มังเกอร์ ทิ้งท้ายไว้ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน คุณปู่บอกว่า แล้วประเทศออกจาก Great Depression ได้อย่างไร เออ มันก็น่าสนใจนะ สำหรับสถานการณ์ที่ทุกๆคนไม่มีเงิน ไม่มีงาน แล้วสุดท้าย กลายเป็นมีเงิน มีงาน แล้วทำให้ประเทศอเมริกา ออกจากภาวะซบเซาได้อย่างไร เฉลย คน/สิ่งที่ช่วยประเทศไว้ (แบบไม่ตั้งใจ) คือ คุณฮิตเลอร์ (Hitler) ห้ะ?! ใช่ครับ อ่านไม่ผิด คุณ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มก่อสงครามกับโลก คนที่เริ่มต้น สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามนี้เอง ทำให้ปัจจัยการผลิตต้องหมุนเร็วขึ้นอีกครั้ง มีงานเกิดขึ้นอีกครั้ง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ Keynesian Economics เศรษฐศาสตร์ แนวใหม่ของ John Maynard Keynes
  • คุณปู่มังเกอร์ มีแนวคิดในการแก้ปัญหา แบบ Invert Thinking (การคิดแบบตรงกันข้าม) เขาบอกว่า ในหลายๆครั้ง การแก้ไขปัญหา โดยการคิดแบบตรงกันข้าม ช่วยให้หาคำตอบได้มากกว่า เช่น ถ้าเราอยากจะหาทางพัฒนาประเทศไทย ให้ดีขึ้น เราจะทำอย่างไร คงจะมีหลากหลายคำตอบมากๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากสิ่งไหนก่อน ในการคิดแบบตรงกันข้าม จะเริ่มต้นว่า ถ้าเราอยากจะ ‘ทำลาย’ ประเทศไทย ให้มากที่สุด เราจะต้องทำอย่างไร ไม่ต้องให้การศึกษาเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ ยกย่องคนอันธพาล ปล่อยให้อันธพาลครองเมือง ลองคิดดูได้นะครับ อะไรที่คุณคิดว่าทำแล้ว มันจะเลวร้ายที่สุดสำหรับประเทศไทย พอเรารู้ว่าอะไรที่เลวร้ายสุดๆแล้ว เราก็หาทางป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นให้ถึงที่สุด ลักษณะนี้ คือการคิดแบบ Invert Thinking ที่คุณปู่มังเกอร์ ใช้เสมอมา
  • คุณปู่เก่งคณิตศาสตร์ และเลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ตอนเข้ามหาวิทยาลัย สาเหตุที่เขาเลือกเรียนคณิตศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะเขา in love อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับคณิตศาสตร์มากขึ้น แต่เป็นเพราะ สาขานี้ทำให้เขามีเวลามากขึ้น ในการคิดว่าเขาอยากจะทำอะไรจริงๆ มากกว่า ไม่ต้องไปฟังอาจารย์ว่าจะต้องทำการบ้านอะไร… (20.28)

I was choosing what for me was the easiest way to think about what I want to do instead of what somebody else wants me to do”

  • (เพิ่มเติม สำหรับประเด็นคณิตศาสตร์) คณิตศาสตร์ที่คุณปู่ใช้ ใช้เฉพาะพื้นฐาน บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน สมการ สถิติ แต่ที่เขาไม่ได้ใช้เลยตั้งแต่อายุ 19 คือคณิตศาสตร์ด้านแคลคูลัส คำพูดนี้น่าสนใจ ผมคิดว่าประเทศไทย ถ้าสามารถเปลี่ยนหลักสูตรคณิตศาสตร์ได้ ควรจะตัดแคลคูลัส ออกจากหลักสูตร มัธยมปลายไปเลย แล้วสอนในส่วนของสถิติเพิ่มเติม ไม่ใช่แค่บอกว่าคำจำกัดความของสถิติ ค่ากลาง มัธยฐาน ฐานนิยม ค่า Z คืออะไร แต่ควรจะสอนว่า จะตีความข่าวต่างๆในมุมมองของสถิติได้อย่างไรบ้าง คนไทยอาจจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น ว่าควรจะเลิกหมกมุ่นกับการเล่นหวย ซื้อล็อตเตอรรี่ กราบไหว้วัตถุต่างๆ แล้วหันมาอ่านหนังสือ เก็บหอมรอมริบ ตั้งใจทำงาน สร้างคุณค่าให้ตัวเอง และคนรอบข้าง ให้มากขึ้น
  • ผมชอบอารมณ์ขันของคุณปู่มากครับ ชอบเล่นมุขหน้าตาย ณ นาที 21.54 “I should have gone to the Naval ROTC because I hated the Infantry ROTC which I’d done for 4 years of service since high school, rising to be second lieutenant..which is a very low rank” << ฮาอะ ผมชอบ
  • เราไม่สามารถสอนสุนัขใหม่ ให้เรียนรู้เทคนิคเก่าได้ (cannot teach the new dogs an old trick) — เขาเลือกคนที่มีประสบการณ์ที่ทำงานเป็นอยู่แล้ว ให้มาช่วยงานที่บริษัท แทนที่จะหาคนรุ่นใหม่ เข้ามาบริหาร คนรุ่นใหม่ อายุน้อย (new dogs) คนมีประสบการณ์ อายุเยอะ (old n wise dogs)
  • พูดถึงแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ และปรัชญาของโลก Adam Smith ชาวสก็อตแลนด์ ผู้เขียนหนังสือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิก ชื่อ The Wealth of Nations (ความมั่งคั่งของประเทศ) ว่าทฤษฎีที่ Adam Smith เสนอมาพูดได้ครอบคลุม เศรษฐศาสตร์ต่างๆ แต่ที่ Adam Smith มองพลาดไป คือการเติบโตและพัฒนาการของเทคโนโลยี แต่ก็คงจะว่าไม่ได้หรอก Adam Smithเ เขาเกิด ในปี 1727 (พ.ศ. 2270) เขาจะคิดออกได้อย่างไร ว่าโลกเรามันจะวิวัฒนาการได้มากถึงขนาดนี้ ในด้านเทคโนโลยี
  • David Ricardo และทฤษฎี การค้าขายแลกเปลี่ยนแบบเสรี (Free Trade) สิ่งที่ David Ricardo คิดได้ถูก (First Order Thinking) และสิ่งที่เขาพลาดไป (Second Order Thinking) ซึ่งจะทำให้ประเทศจีน เติบโต ยิ่งใหญ่ ทัดเทียมประเทศอเมริกา ในที่สุด และสุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจนี้ คงจะหนีไม่พ้นความสัมพันธ์เชิงการเป็นมิตร แบบบังคับ เพราะนั่นน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับ 2 ประเทศ และสำหรับโลกนี้แล้ว

ก่อนจะจบ ผู้สัมภาษณ์ถามคุณปู่มังเกอร์ว่า จะฝากคำแนะนำอะไรไว้ให้กับคนรุ่นหลังอะไรบ้าง คุณปู่มังเกอร์ฝากไว้ 3 สิ่งดังนี้ครับ

  1. การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของทุกๆคน คือการตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับใคร (บทความ: คุณจะแต่งงานกับคนที่ผิดไหม) …”It will do more for you good or bad than anything else” คุณปู่มังเกอร์เพิ่มเติม แนวคิดเกี่ยวกับการแต่งงาน จากคำพูดของ Benjamin Franklin ว่า “Keep your eyes wide open before marriage and half shut thereafter”…”เปิดตาให้กว้างๆก่อนที่คุณจะแต่งงาน แล้วหลังจากนั้นลืมตาข้างเดียวพอ”..ฮาอีกแล้วคุณปู่ 🙂
  2. อีกอย่างที่คุณปูฝากไว้ก็คือ ไม่ต้องหวังสูงว่าต้องเป็นมหาเศรษฐีของโลก หรือประธานาธิบดีของประเทศ (หรือ นายกฯ สำหรับประเทศไทย) แต้มต่อของสิ่งเหล่านั้นมันช่างน้อยนิดเกินไป…เหมือนตั้งเป้าว่า ชีวิตนี้จะต้องถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1ให้ได้ (โอกาส 1 ในล้าน) — โอกาสจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคือ 1 ใน 70 ล้าน สิ่งที่เราควรมอง ควรหวังคือ ขอเพียงแต่ ตื่นขึ้นมา ทุกๆวัน ตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง ทำในสิ่งที่ถูก ก็พอ อย่าประเมินค่าสิ่งธรรมดาเหล่านี้ต่ำเกินไป​ (อย่า underestimate สิ่งธรรมดาเหล่านี้) เพราะเขาพิสูจน์ให้กับชีวิตตัวเองแล้ว ว่า มันทำให้ชีวิตเขาดีได้จริงๆ (overshot and become a billionaire!)
  3. สุดท้าย โชคชะตา ก็เป็นเรื่องสำคัญ บางคนไม่ได้มีอะไรเลย แต่อยู่ถูกที่ ถูกเวลา เขาก็สามารถจะได้รับผลประโยชน์ ได้สิ่งดีๆ จากการที่เรือของพวกเขา อยู่ในทะเล ที่น้ำขึ้นเรื่อยๆ ได้เช่นกัน (สาเหตุหลักที่ผมเริ่มศึกษา การลงทุนในตลาดเวียดนาม ครับ)

ขอขอบคุณคุณปู่ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) ที่สละเวลา มาให้สัมภาษณ์ ยินยอมให้เผยแพร่วิดิโอนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตของคุณปู่ และจะหาทางเอาปัญญา Wisdom สิ่งดีๆ มาปรับใช้ในชีวิตของผมและสังคมรอบๆข้างผมต่อๆไปครับ

Read More